Waldorf M คืออะไร?
Waldorf เครื่องสังเคราะห์เสียง แบรนด์จากเยอรมนี ผลิตเครื่องดนตรีมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 โดยโด่งดังจากการผลิตเครื่แงสังเคราะห์เสียงที่มีชื่อเสียงอย่าง Wolfgang Palm PPG และ Palm ประสบความสำเร็จจากการสังเคราะห์ ‘Wave’ ต่างๆ ซึ่งใช้เทคนิคการสังเคราะห์ wavetable เชิงพาณิชย์แบบใหม่
แนวคิดหลักที่อยู่เบื้องหลังวิธีการสังเคราะห์นี้อยู่ในวิธีที่ออสซิลเลเตอร์สร้างเสียง แทนที่จะมีออสซิลเลเตอร์แบบอะนาล็อกทั่วไป ที่มีช่วงของรูปทรงคลื่นสัญญาญสัญญาญพื้นฐาน (สี่เหลี่ยมจัตุรัส ฟันเลื่อย ฯลฯ) เครื่องสังเคราะห์สัญญาณแบบตารางคลื่นสัญญาญ จะใช้หน่วยความจำดิจิทัลเพื่อเก็บรูปร่างคลื่นสัญญาญรอบเดียวที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งสามารถกรอง และปรับแต่งได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม วิธีการจัดเก็บรูปแบบที่ซับซ้อนเหล่านี้ทำให้คุณสามารถย้ายระหว่างรูปคลื่นสัญญาญที่อยู่ติดกันได้อย่างง่ายดาย
แนวคิดนี้เป็นแกนหลักของ M desktop synthesiser รุ่นใหม่ของ Waldorf และเช่นเดียวกับ PPG และระบบ Waldorf รุ่นก่อนๆ ที่รวมสิ่งนี้เข้ากับแอมพลิฟายเออร์อนาล็อก และขั้นตอนการเล่นที่หลากหลาย สิ่งนี้ทำให้เป็นระบบไฮบริด (ซึ่งแตกต่างจากซินธิไซเซอร์ของ Waldorf ในภายหลังเช่น Blofeld และปลั๊กอินทั้งหมดซึ่งใช้การสร้างแบบจำลองอะนาล็อก/DSP สำหรับจำลองการสร้างเสียงแปลกๆทั้งหมด)
ดัดแปลง ปรับแต่งเสียง
ย้อนกลับไปที่ Waldorf Microwave เครื่องสังเคราะห์เสียงรุ่นแรก ซึ่งเป็นเครื่องสังเคราะห์เสียงยอดนิยมที่เปิดตัวในปี 1989 ซึ่งแตกต่างจากเครื่องรุ่นดั้งเดิม เครื่องสังเคราะห์เสียง Waldorf M มาในรูปแบบหน้าจอที่มีแผงด้านหน้าแบบลูกบิด และจอสี
(Image credit: Future)
ตัวเครื่องสร้างขึ้นในตัวเครื่องโลหะที่แข็งแรงมาก พร้อมขั้วต่อที่มีป้ายกำกับชัดเจนที่ด้านหลัง คุณจะพบกับเอาท์พุตสเตอริโอหลัก ซึ่งมีเอาต์พุตที่ใช้ระบบreverse ด้วย และชุดเอาต์พุตสเตอริโอเสริมสี่ชุด (โดยใช้แจ็ค TRS) ทั้งหมดควบคุมการเชื่อมต่อผ่านพอร์ต MIDI มาตรฐาน และ USB 2.0
คุณจะพบช่องเสียบการ์ด SD การ์ด สิ่งนี้สามารถใช้สำหรับจัดเก็บไฟล์ wav ได้อย่างทันใจ และอำนวยความสะดวกในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ ขั้นตอนหลังเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างง่ายซึ่งเกี่ยวข้องกับการคัดลอกไฟล์ไปยังการ์ด SD และปฏิบัติตามคำแนะนำในการอัปเดตที่เกี่ยวข้องเพียงเท่านั้น ซึ่งหลายๆคนก็ต้องทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์กันอยู่แล้ว
รายละเอียดการใช้งาน
ก่อนที่จะลงลึกถึงรายละเอียดเราจะพิจารณาถึงปัจจัยทั่วไปของ Waldorf ในการใช้งาน และการตัดต่อคลื่นสัญญาญ การควบคุมที่แผงด้านหน้าส่วนใหญ่ถูกผลิตมาเพื่อเข้ากับฟังก์ชันโดยเฉพาะ และการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะถูกระบุบน หน้าจอเสมอ ถ้าขั้นการใช้งานแล้ว ถือว่าผ่าน
เหนือหน้าจอมีปุ่มโหมด 8 ปุ่มสำหรับเข้าถึงพารามิเตอร์เพิ่มเติม ที่ใช้งานในแต่ละส่วนของซินธ์ ส่วนใต้หน้าจอจะมีตัวเข้ารหัสสี่ตัวที่สามารถควบคุมพารามิเตอร์ที่แสดงที่ด้านล่างของแต่ละหน้าต่างได้ การแตะเพียงครั้งเดียวบนตัวเลือกเหล่านี้ จะรีเซ็ตพารามิเตอร์ปัจจุบันให้เป็นค่าเริ่มต้น ตัวหน้าจอช้งานได้จริงอย่างแน่นอน แม้ว่าในบางหน้าจอข้อความจะค่อนข้างเล็ก และบางฟังค์ชั่นที่เหมาะกับการใช้งานแบบจอสีมากกว่า
(Image credit: Future)
ในแง่ของการออกแบบเสียงแต่ละเสียง ซึ่งมี 8 ตัวเลือกในรุ่นมาตรฐาน มีเครื่องกำเนิดสัญญาณรบกวนแบบ Wavetable สองตัว และเครื่องกำเนิดสัญญาณรบกวน ซึ่งทั้งหมดจะป้อนคลื่นสัญญาญลงในตัวกรองอนาล็อก (VCF) และเครื่องขยายเสียง (VCA) ) ส่วน นอกจากช่องฟิลเตอร์ แอมป์ และเวฟเฉพาะแล้ว ยังมีช่องเพิ่มเติมที่สามารถกำหนดได้อย่างอิสระ และ LFO ถึงสองช่อง
เครื่องผลิตสัญญาญถูกติดตั้งที่ด้านซ้ายของแผงด้านหน้าด้วยปุ่มสีแดงที่เข้าชุดกัน การควบคุมสำหรับออสซิลเลเตอร์แต่ละตัวมีความคล้ายคลึงกัน โดยมีตัวควบคุมสีแดงดังกล่าวสำหรับการเคลื่อนที่ด้วยตนเองผ่านตารางเวฟ และการควบคุมแบบศูนย์กลางที่ใหญ่กว่าสำหรับการเลือกตารางเวฟเอง ส่วนควบคุมที่เหลือในส่วนนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการปรับ (อ็อกเทฟ เซมิโทน ดีทูน ฯลฯ) บวกกับระดับที่ตำแหน่งคลื่นสัญญานของออสซิลเลเตอร์แต่ละตัวถูกปรับแต่งโดย เครื่องนี้โดยเฉพาะ
(Image credit: Future)
สรรค์สร้างเสียงด้วยตัวคุณเอง
นอกจากออสซิลเลเตอร์แล้ว เสียงของซินธ์ที่ถูกปรับแต่งส่วนใหญ่มาจากการออกแบบตัวกรองที่ใช้ Waldorf M ใช้ SSI 2144 resonant 24db/octave สำหรับแต่ละเสียง นี่เป็นชิปล่าสุดที่ใช้วงจรของ SSM 2044 แบบคลาสสิกที่พบในเครื่องของซินธิกแบบคลาสสิก (รวมถึง PPG Wave 2.2 และ 2.3) ซึ่งด้วยความที่มันเป็นเครื่องที่ใช้ชิพตัวใหม่นั้น มันจึงตอบสนองต่อการใช้ได้ดีและมีลูกลเล่นที่ทำให้คุณสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ส่วนต่างๆ ทั้งหมดที่เราได้กล่าวมาข้างต้นมีส่วนการปรับแต่ง / การควบคุมของมัน ด้วยที่ LFO ทั้งสอง ช่อง และช่องอื่นๆ เช่น ความเร็ว และ mod-wheel ล้วนมีส่วนร่วม ช่องใส่แอมป์ และฟิลเตอร์เฉพาะนั้นเป็น ADSR แบบ 4 ขั้นตอนที่ค่อนข้างธรรมดา ในขณะที่ Wave Envelope ที่กำหนดได้อย่างอิสระนั้นใช้ระบบระดับเวลา 8 ขั้นแบบวนซ้ำได้ มีตัวเลือกมากเกินเพียงพอสำหรับการใช้ส่วนใหญ่ที่คุณอยากจะใช้ เรียกได้ว่า มีแค่เครื่องเดียวก็สามารถรังสรรค์เสียงใหม่ๆให้กับคุณมากมาย
ในแง่ของประสิทธิภาพ Waldorf M ยังมีโหมด arpeggiator ที่ยืดหยุ่น และโหมดหลายโหมด (ซึ่งสามารถเล่นสี่ส่วนได้พร้อมกัน) เพื่อสร้างเลเยอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้นหรือสำหรับการควบคุมอิสระผ่านช่องสัญญาณ MIDI และเอาต์พุตต่างๆ ด้วยการที่สามารถสร้างเลเยอร์ได้มากขึ้น ก็จะทำให้คุณสามารถทับ แก้ไข หรือแม้แต่ปรับแต่งเสียงได้มากขึ้น
(Image credit: Future)
เครื่องสังเคราะห์เสียง Waldorf M เครื่องเดียวเอาอยู่
แม้จะมีการควบคุมมากมาย แต่การตั้งโปรแกรมโดยละเอียดก็ต้องการลองเล่น แม้ว่าจะค่อนข้างเล่นง่ายและมีพรีเซ็ตจำนวนมากให้คุณเริ่มต้น การจัดการช่องสัญญาญและการโหลดอาจช่วยได้ด้วยการใช้หน้าจอที่ดีขึ้น และความสามารถในการจัดหมวดหมู่เสียง ซึ่งรุ่นนี้ได้ทำการอัพเดตเป็นรุ่นใหม่แล้ว
Waldorf ได้ทำงานที่ยอดเยี่ยมในการใช้เทคโนโลยีผสมผสานแบบอนาล็อก-ดิจิตอลที่แท้จริง ซึ่งมีบางอย่างที่พิเศษด้วยออสซิลเลเตอร์ที่ฉลาดขึ้นตอบสนอง และการบิดเบือนได้ละเอียดอ่อนมากๆ และมีการทดลองมากมายที่คุณจะทำได้ผ่านแอมป์ และเครื่องแปลงสัญญาญอะนาล็อกซึ่งวิธีการเหล่านี้จะเปิดโอกาศให้คุณได้ทดลองจำลองเสียงด้วยตัวคุณเอง เป็นประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานเครื่องสังเคราะห์เสียง Waldorf M
ผู้ที่คลั่งไคล้ เครื่องสังเคราะห์เสียง มักจะคิดว่ามันจะต้องมีราคาแพงมาก แต่สำหรับพวกเราคิดว่ามันข้องข้างคุ้มค่า กับโมดูลและอุปกรณ์ที่ให้มา แม้ว่าในตอนนี้ราคามือสองของ Waldorf Microwave จะค่อนข้างต่ำกว่า M รุ่นใหม่เล็กน้อย แต่ก็มีบางอย่างที่รุ่นเก่าทำไม่ได้ Waldorf การพิจารณาถึงแนวทางในการใช้งานของคุณด้วย ตัวอย่างเช่น Waldorf M ไม่มีการประมวลผลเอฟเฟกต์ในตัว และในขณะที่มันอาจไม่ใช่เครื่องที่เหมาะสมในการเพิ่ม Reverb แต่ก็อาจจะพาคุณไปพบกับการผจญภัยมากขึ้นเพื่อค้นหาเสียงโดยการ เพิ่มคอรัสอะนาล็อกสไตล์วินเทจ หรือดีเลย์ดิจิตอล วิธีการในการใช้งานเครื่องนี้มากกว่า ถึงจะเป็นข้อตัดสินใจให้คุณได้ว่ามันถูกหรือแพง
(Image credit: Future)
สรุป รีวิว เครื่องสังเคราะห์เสียง Waldorf M
Waldorf M มีราคาข้อข้างแพง และมีแบรนด์เครื่อสังเคราะห์เสียงแบบ wavetable มากมายในแบรนด์อื่นๆ เช่น Korg, Modal และซอฟต์แวร์ทางเลือก อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการความทันสมัยขั้นสูงสุด และมีความสมจริง ลองใช้แนวทางคลาสสิกนี้ในการสังเคราะห์ Waldorf M แล้วคุณจะรักเครื่องนี้
ข้อดี
- โหมดการเล่น wavetable สองโหมด – คลาสสิก และทันสมัย
- ตัวกรองอนาล็อกที่ให้เสียงดีเยี่ยม
- เข้ากันได้กับไมโครเวฟ I SysEx band และการถ่ายโอนเสียง
ข้อเสีย
- การจัดการช่องน่าจะดีกว่านี้
- ตัวเลือกการนำเข้าไฟล์ wav ใช้ได้จำกัดเมื่อเทียบกับแบบซอฟต์แวร์
- ไม่มีเอฟเฟกต์ในตัว (ทั้งอนาล็อกและดิจิตอล)
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับบทความในวันนี้ ที่เรา Riffandlife นำมาฝากกัน วันนี้ผมต้องลาไปก่อน สำหรับบทความหน้าเราจะพาเพื่อนๆไปรีวิวเครื่องดนตรีประเภทไหนกันอีกบ้าง ก็สามารถติดตามกันไว้ได้เลยนะครับ หากเพื่อนๆต้องการฝากคำติชมให้เรา ก็สามารถพูดคุยกันผ่านกล่องข้อความด้านล่างกันได้เลยนะครับ พบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ
สั่งซื้อได้ทาง https://www.thomann.de/gb/waldorf_m.htm